Page 25 - ข่าวสารฯ ฉบับ 6301 ม.ค.๖๓
P. 25

ข่าวสารแพทย์นาวี  : Naval  Medical  Newsletter






                                               เรื่อง...ท�าดียังไม่สาย

                    คนโบราณมักสอนลูกหลานว่า อยู่ที่ไหนให้พยายามท�าดีไว้ คนดีตกน�้าไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ คนจะเจริญก้าวหน้าจะต้อง
             มีความดีประจ�าตัว  ความดีช่วยให้มีเสน่ห์ คนรูปร่างหน้าตาสวยย่อมมีเสน่ห์  ท�าให้คนอยากมอง  แต่ความสวยไม่จีรังเท่ากับ
             ความดี ดังค�ากล่าวที่ว่า “ความสวยไม่คงที่ ความดีสิคงทน”

                    หากจะถามว่า ความดีคืออะไร ค�าตอบอาจจะแตกต่างกันไป แต่เมื่อกล่าวโดยสรุป สิ่งที่เป็นความดีนั้นจะมีลักษณะ คือ
             ๑. ถูกต้องดีงาม  ๒. ไม่ท�าให้ตนและคนอื่นเดือดร้อน และ ๓. มีผลเป็นความสงบสุข เครื่องตัดสินว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่
             มี ๒ แนวทาง คือ
                    ๑. ทางโลก  ใช้กฎหมายและขนบธรรมเนียมประเพณีของสังคม
                    ๒. ทางธรรม ใช้หลักศาสนา กล่าวคือ การกระท�าที่เป็นไปโดยชอบ ถูกต้องตามหลักทั้ง ทางโลกและทางธรรม  ถือได้ว่า

             เป็นความดี ซึ่งจะส่งผลให้ตนและผู้อื่นไม่เดือดร้อน แต่ถ้าเป็นไปในทางตรงกันข้ามก็เป็นความไม่ดี มีผลเป็นทุกข์แก่ตนและผู้อื่น
                    ด้วยเหตุนี้เมื่อจะท�าสิ่งไร เพื่อป้องกันความผิดพลาด ควรใช้หลักการทั้ง ๓ อย่างนั้น มาวินิจฉัยก่อน ถ้าเห็นว่าถูกต้องดีงาม
             ไม่ก่อความเดือดร้อน ผลสะท้อนเป็นความสงบสุขก็ควรท�า แต่ถ้าตรงกันข้ามก็ไม่ควรท�า ไม่มีค�าว่าสายส�าหรับการท�าความดีเลย

             ท�าดีเมื่อไรก็ดีเมื่อนั้น  ท�าดีแต่ละครั้ง  ชื่อว่าได้สร้างความรุ่งเรืองให้แก่ชีวิตเพิ่มขึ้น  คนส่วนมากอยากได้รับผลดีแต่ไม่ยอมลงทุน
             สร้างเหตุแห่งดี จึงไม่ได้ดีตามที่มุ่งหวังดังค�ากลอนที่ว่า
                            “อยากได้ดีไม่ท�าดีนั้นมีมาก   ดีแต่อยากหากไม่ท�าน่าข�าหนอ
                             อยากได้ดีต้องท�าดีอย่ารีรอ   ดีแต่ขอ รอแต่ดี ไม่ดีเอย”

                    โปรดส�ารวจดูว่า วันนี้ท่านท�าดีแล้วหรือยัง ?



                                              เรื่อง...อยู่กันด้วยเมตตา


                    ในการปกครองบังคับบัญชา ธรรมะมักจะถูกน�ามาอ้างอิงหรือพูดถึงอยู่เสมอ เช่น เราปกครองกันด้วยธรรมะ หรือเรา
             อยู่กันด้วยเมตตา  เป็นต้น  จนบางครั้งเป็นเหตุละเลยการกวดขันให้เป็นไปตามระเบียบหรือลงโทษผู้กระท�าผิด  หากใคร
             ไปกวดขันเอาจริงเข้า ก็อาจถูกมองว่าเป็นผู้ขาดเมตตาไปได้ง่ายๆ

                    ความจริง เมื่อจะใช้สิ่งของอะไรสักอย่างหนึ่ง ก็ต้องศึกษาให้รู้วิธีการเสียก่อนจึงจะใช้ถูก ธรรมะก็เหมือนกัน
             แต่บางคนใช้ธรรมะโดยวิธีฟังชื่อแล้วบวกเข้ากับความเข้าใจของตน  เช่น  พอได้ยินชื่อว่าเมตตาก็เอาประสบการณ์และ

             ความรู้สึกเข้าจับ แล้วมองเห็นเป็นช่องเป็นชั้นว่า หมายถึงอย่างนั้น ต้องท�าอย่างนี้ ทั้งที่ความจริง เมตตาที่ถูกแท้นั้น
             ต้องปฏิบัติให้ครบหลักการใหญ่ที่ท่านเรียกว่า พรหมวิหาร คือ
                            ๑. เมตตา      ความรัก  ความปรารถนาดีต่อกัน

                            ๒. กรุณา      ความสงสาร  ช่วยเหลือกันเมื่อยามประสบทุกข์
                            ๓. มุทิตา     ความเบิกบาน  พลอยยินดีเมื่อเขามีสุข

                            ๔. อุเบกขา    ยึดในเหตุผล  วางเฉยเพื่อรักษาความถูกต้อง
                    ทั้ง ๔ ข้อนี้ต้องมีให้ครบ คือปฏิบัติข้อใดก็ต้องไม่ให้เสียถึงข้ออื่นที่เหลือ เช่น จะเมตตากรุณา ก็ต้องไม่ให้เสียอุเบกขา
             ไม่ให้ความผิดถูกหรือความเป็นธรรมต้องเสียไป หรืออุเบกขาวางเฉยก็เพราะเหตุสุดวิสัยจะช่วยได้ ด้วยถึงคราวที่จ�าต้อง

             ยึดหลักการ แต่ใจนั้นยังเมตตาสงสารอยู่ไม่โกรธแค้นชิงชัง
                    ในแง่ของการปกครอง  เมตตาที่ขาดอุเบกขา  ก็หย่อนยานไร้สมรรถภาพ  อุเบกขาที่ไม่มีเมตตาก็เครียด เป็นทุกข์และ

             หวาดระแวง  ดังนั้น  แม้จะพูดเพียงสั้นๆ  ว่าเราอยู่กันด้วยเมตตา  แต่ในทางปฏิบัติต้องผสมผสานกันให้ได้เป็นอย่างดีระหว่าง
             เมตตา กรุณา มุทิตา และอุเบกขา

                 จัดท�าโดย  กองอนุศาสนาจารย์ ยศ.ทร.


                                                  ข่าวสารแพทย์นาวี   ปีที่ ๖๒ เล่มที่  ๑  เดือน มกราคม  พ.ศ.๒๕๖๓ หน้า ๑๕
   20   21   22   23   24   25   26   27   28   29   30