Page 11 - ข่าวสารฯ ฉบับ 6302 ก.พ.๖๓
P. 11
ข่าวสารแพทย์นาวี : Naval Medical Newsletter
ให้แนบสนิท บีบจมูกผู้ประสบภัยและเป่าลมเข้าไป โดยการเป่าแต่ละครั้งให้ยาวอย่างน้อย ๑ วินาที จนเห็นหน้าอกผู้ประสบ
ภัยยกตัวขึ้น พร้อมกับปล่อยให้ยุบลงมา ก่อนเป่าครั้งต่อไป
๓. วางส้นมือลงไปกึ่งกลางหน้าอกของผู้ประสบภัย แล้วน�ามืออีกข้างมาประกบประสานนิ้ว กระดกข้อมือขึ้นเพื่อ
ให้เพียงส้นมือสัมผัส โน้มตัวให้แนวแขนตรง ตึง และตั้งฉาก ออกแรงกดหน้าอกลงไปโดยใช้แรงจากหัวไหล่ด้วยความเร็ว
๑๐๐ - ๑๒๐ ครั้ง/นาที ด้วยความลึก ๒ - ๒.๔ นิ้ว
ข้อควรระวัง
พยายามหลีกเลี่ยงการช่วยหายใจที่สัมผัสกับผู้ประสบภัยโดยตรง การใช้วัสดุหรืออุปกรณ์ที่หาได้ง่ายและสะดวก
ในพื้นที่ อาจนับเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าตามสามัญส�านึกและสร้างสรรค์ อย่างไรก็ตามการแสวงเครื่องดังกล่าว
ต้องพิจารณาให้รอบด้าน เนื่องจากหากแสวงเครื่องที่ไม่เหมาะสมอาจมีปัญหาเพิ่มเติมทั้งทางด้านการแพทย์ จริยธรรม
และกฎหมายหลักการและการเคลื่อนย้ายล�าเลียงผู้ป่วยเจ็บทางน�้า
การเคลื่อนย้ายและล�าเลียงผู้ป่วยเจ็บทางน�้า
เป็นขั้นตอนการปฏิบัติที่ส�าคัญในการน�าผู้ป่วยเจ็บส่งกลับไปยังสถานพยาบาล เพื่อให้ผู้ป่วยเจ็บได้รับการดูแลรักษา
อย่างสมบูรณ์จากบุคลากรทางการแพทย์ที่มีขีดความสามารถต่อไป ดังนั้นผู้ที่จะท�าหน้าที่ในการเคลื่อนย้ายและล�าเลียง
ผู้ป่วยเจ็บจึงต้องมีความรู้และทักษะปฏิบัติที่ถูกต้อง โดยสิ่งที่ต้องค�านึงถึงในการเคลื่อนย้ายและล�าเลียงผู้ป่วยเจ็บ ดังนี้
๑. ต้องไม่ท�าให้ผู้ป่วยเจ็บเกิดอันตรายเพิ่มขึ้น
๒. ผู้ให้การช่วยเหลือต้องมีความปลอดภัย
๓. ควรให้การดูแลรักษาผู้ป่วยเจ็บก่อนท�าการเคลื่อนย้ายอย่างเหมาะสม
๔. ให้ใช้ความระมัดระวังต่อผู้ป่วยเจ็บที่ได้รับบาดเจ็บ บริเวณเหนือกระดูกไหปลาร้า บาดแผลที่ใบหน้า การบาดเจ็บ
จากอุบัติเหตุจราจร และผู้ที่หมดสติซึ่งอาจได้รับบาดเจ็บของไขสันหลัง (C-Spine Injury)
หลักการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเจ็บ จะแบ่งออกตามข้อบ่งชี้ของสถานการณ์และความจ�าเป็นเร่งด่วนในการเคลื่อนย้าย
ซึ่งแบ่งออกเป็น ๓ ประเภท ดังนี้
๑. การเคลื่อนย้ายแบบฉุกเฉิน (Emergency Move) เป็นการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเจ็บโดยเร่งด่วน เพื่อแลกกับ
โอกาสมีชีวิตรอดของผู้ป่วยเจ็บ เช่น ในสถานการณ์ที่มีความรุนแรงที่ผู้ป่วยเจ็บมีภาวะคุกคามกับชีวิต หรือกรณีที่ไม่สามารถ
น�าอุปกรณ์มาช่วยเหลือได้ทัน การพิจารณาการเคลื่อนย้ายแบบฉุกเฉินใช้กรณีเมื่อจ�าเป็นเท่านั้น เพราะอาจเป็นอันตราย
ต่อกระดูกสันหลังได้ง่าย
๒. การเคลื่อนย้ายแบบเร่งด่วน (Urgent Move) เป็นการเคลื่อนย้ายที่ต้องมีความรวดเร็วกว่าปกติ เพื่อให้
การช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บภายใต้เงื่อนไขต่างๆ ที่อาจมีภาวะคุกคามต่อชีวิตในระยะต่อมา โดยผู้ให้การช่วยเหลือสามารถ
ให้การดูแลรักษา ณ จุดเกิดเหตุก่อนเคลื่อนย้ายได้ เช่น การให้ออกซิเจน การห้ามเลือด การปฐมพยาบาลเบื้องต้น
๓. การเคลื่อนย้ายแบบไม่เร่งด่วน (Non-Urgent Move) เป็นการช่วยเหลือผู้ป่วยเจ็บที่ไม่มีภาวะคุกคามต่อ
การเสียชีวิต ผู้ป่วยเจ็บรู้สึกตัวดีรอเวลาในการรักษาได้ และสภาพแวดล้อมมีความปลอดภัย เป็นการเคลื่อนย้ายที่มี
ความปลอดภัยต่อผู้ป่วยเจ็บมากที่สุด
จากที่กล่าวมาจะเห็นถึงความส�าคัญในการเคลื่อนย้ายและล�าเลียงผู้ป่วยเจ็บ เพื่อให้ผู้ป่วยเจ็บได้รับการช่วยเหลือ
อย่างปลอดภัย อย่างไรก็ตามในการช่วยเหลือจะต้องมีการประเมินสถานการณ์ให้เกิดความปลอดภัยก่อนท�าการช่วยเหลือ
และเคลื่อนย้ายผู้ป่วยเจ็บในล�าดับต่อมา จากในอดีตที่ผ่านมา ในสถานการณ์ที่มีภัยพิบัติทางน�้า เช่น วาตภัย อุทกภัย
จะเห็นได้ว่าการให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย มีความยากล�าบาก ดังนั้น หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจึงต้องมีการซ้อมแผน
และฝึกปฏิบัติให้เกิดองค์ความรู้และทักษะปฏิบัติที่ถูกต้อง เพื่อน�าไปใช้ในสถานการณ์จริงได้อย่างมีประสิทธิภาพต่อไป
ข่าวสารแพทย์นาวี ปีที่ ๖๒ เล่มที่ ๒ เดือน กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๓ หน้า ๖

