Page 15 - 1 June 63
P. 15
ข่าวสารแพทย์นาวี : Naval Medical Newsletter
คนที่มีปัญหาเสียงแหบโดยไม่มีความผิดปกติของเส้นเสียงหรือมีความผิดปกติไม่รุนแรงสามารถรักษาให้หายได้
ด้วยการแก้ไขและเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการใช้เสียงให้ถูกต้อง อย่างที่กล่าวน�ามาแล้วในตอนต้น “การฝึกหายใจให้ถูกวิธี”
เป็นหัวใจส�าคัญของการฝึกเสียง ท่านเคยสังเกตตัวท่านเองหรือไม่ว่าเมื่อหายใจเข้าแล้วท้องป่องหรือหายใจเข้าแล้วท้องจะแฟบ
ผู้เขียนได้ทดสอบคนที่เสียงแหบก่อนการรักษาทุกคนหายใจเข้าท้องแฟบแล้วยกอกยกไหล่ขึ้นโดยหารู้ไม่ว่าเปลืองแรงที่ใช้
และได้ปริมาณอากาศน้อย แล้วท่านล่ะเป็นเช่นนั้นหรือไม่ ท่านคิดว่าผิดหรือถูก ค�าตอบก็คือผิด แต่เราก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
อากาศเพียงพอต่อการด�ารงชีวิตแต่ไม่เพียงพอต่อการใช้เสียงโดยเฉพาะคนที่มีอาชีพต้องใช้เสียงมากๆ การหายใจที่ถูกต้อง
และมีประสิทธิภาพมากที่สุดคือ การหายใจเข้าท้องป่อง และหายใจออกท้องแฟบ เราเรียกวิธีการหายใจเช่นนี้ว่า “การหายใจ
ด้วยกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลม” (Abdominal or Diaphragmatic Breathing) จริงๆ แล้วการหายใจไม่ต้องใช้แรง
หรือความพยายามมากมายอะไร ไม่ต้องยกหน้าอก ไม่ต้องยกไหล่ให้เปลืองแรง อากาศจะเคลื่อนที่เข้าออกจากปอดโดยอาศัย
ความแตกต่างระหว่างความดันอากาศในถุงลมปอดกับความดันของอากาศ ภายนอกร่างกาย ในขณะหายใจกล้ามเนื้อและ
ซี่โครงจะท�าหน้าที่คล้ายกระบอกสูบ กระบังลมจะท�าหน้าที่คล้ายลูกสูบ กระบังลมมีลักษณะเป็นแผ่นกล้ามเนื้อบางๆ ขึงอยู่
ที่ฐานของทรวงอก ปกติจะถูกอวัยวะในช่องท้องดันให้สูงขึ้นเป็นรูปโดม ถ้าเราหายใจเข้ากระบังลมจะเลื่อนลงทางด้านล่าง
ท�าให้เพิ่มปริมาตรทรวงอกทั้งด้านข้าง ด้านหน้า และด้านหลัง เนื้อเยื่อปอดที่ยืดหยุ่นได้จะถูกดึงออกให้มีปริมาตรเพิ่มขึ้น
ตามไปด้วย อากาศจากภายนอกร่างกายจึงไหลเข้าไปในปอดจนกว่าความดันอากาศภายในและภายนอกร่างกายเท่ากัน อากาศ
จึงหยุดไหล ถือเป็นการสิ้นสุดการหายใจเข้า ส่วนการหายใจออกก็จะเกิดในทิศทางตรงกันข้าม กล่าวคือ เมื่อกล้ามเนื้อ
ระหว่างช่องซี่โครงคลายตัวกระดูกซี่โครงจะหุบลง อวัยวะในช่องท้องก็จะดันกระบังลมให้สูงขึ้นไปเป็นรูปโดมดังเดิม ปอดจึงถูก
ดันให้แฟบลงท�าให้ความดันภายในปอดสูงขึ้นอากาศจึงไหลออกจากปอดเกิดเป็นการหายใจออก จนกว่าความดันอากาศภายใน
และภายนอกปอดเท่ากันอากาศจึงหยุดไหล ถือเป็นการสิ้นสุดการหายใจออก ถ้าเป็นการหายใจเข้าออกปกติในขณะพัก
ยอดโดมของกระบังลมจะเคลื่อนที่ขึ้นลงประมาณ ๑ - ๒ เซนติเมตร แต่ถ้าเป็นการหายใจเข้าลึกๆ และแรงจะเคลื่อนที่ได้
มากถึง ๑๐ เซนติเมตร ผลของการหดและคลายตัวของกระบังลมนี้จะมีส่วนช่วยในการน�าอากาศเข้าออกจากปอดได้ราว
๗๕ เปอร์เซ็นต์ของการหายใจในแต่ละครั้ง ด้วนเหตุนี้การหายใจด้วยกล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลมจึงมีประสิทธิภาพ
มากที่สุด
ภาพที่ ๑. แสดงทิศทางการไหลของอากาศโดยใช้กล้ามเนื้อหน้าท้องและกระบังลม จากภาพแรกจะเห็นว่าเมื่อท�าท้องป่องกระบังลม
จะลดตัวลงเพิ่มปริมาตรให้อากาศไหลเข้า เมื่อแขม่วท้องหายใจออกกระบังลมจะหดตัวขึ้นช่วยให้อากาศไหลออก ลักษณะคล้ายการ
ท�างานของกระบอกสูบ
อ่านต่อฉบับหน้า
ข่าวสารแพทย์นาวี ปีที่ ๖๒ เล่มที่ ๖ เดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๓ หน้า ๑๒

