Page 16 - 8aug64
P. 16
ข่าวสารแพทย์นาวี : Naval Medical Newsletter
ผู้สูงวัย ๕๐ +
โดย...ศิษฏ์ชายชล สุทธิพงศ์ MBA RN
แทบไม่น่าเชื่อว่า เราอยู่กับการระบาดของโรค COVID-19 มาเกือบ ๒ ปี แล้ว และตอนนี้เราก็มีชีวิตรอด
มาได้ ซึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยที่เราจะต้องอยู่กับเชื้อโรคตัวใหม่นี้ไปตลอดชีวิต งานวิจัยวัคซีนก็ด�าเนินการท�ากันต่อไปเรื่อยๆ
ในภาวะวิกฤติได้อะไรมาพอที่จะทุเลาเบาบาง การแพร่ระบาดได้ก็เอาไว้ก่อน การวิจัยค้นคว้าให้แน่ชัดนั้นต้องอาศัยเวลาโดย
การท�าซ�้าไปซ�้ามาหลายครั้งให้แน่ใจ เมื่อได้ผลลัพธ์คงที่ก็ออกเผยแพร่ข้อมูลที่เชื่อถือได้ อย่างไรก็ตามโรคใหม่ๆ ก็เกิดขึ้น
แต่โรคเก่าๆ ที่อยู่คู่กับผู้สูงอายุอย่างเราท่านมานาน ก็ยังคงอยู่กับเราชั่วชีวิตเช่นกัน
ปัญหาหนึ่งที่พบ เริ่มจะมากขึ้นทุกๆ วัน ก็คือเรื่องความจ�าเสื่อม ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นตามปกติวิสัยของผู้สูงอายุ
อยู่แล้ว และจะมีความเสี่ยงเกิดโรคมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุขัย ตัวเลขการเก็บสถิติของผู้ที่มีปัญหาเรื่องสมองเสื่อมหรือ
ความจ�าเสื่อมในประเทศไทยมีแนวโน้มสูงขึ้น ด้วยเหตุผลที่เราเข้าสู่สภาวะผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์แบบแล้ว คือ มีจ�านวนผู้สูงวัย
อายุมากกว่า ๖๐ ปี ซึ่งมีจ�านวนมากกว่า ๒๐% ของประชากรทั้งประเทศ การเกิดโรคความจ�าเสื่อมนั้นเร็วหรือช้า ขึ้นอยู่กับ
แต่ละบุคคล ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วก็จะรักษาให้ชะลอหรือประคับประคองให้ความจ�าเสื่อมนั้นช้าลง ชะลอไม่ให้มันแย่ลงๆ เลวร้าย
มากไปกว่านั้น ไม่มียาที่จะไปรักษาให้หายขาดได้ ทั้งที่รู้ว่าพยาธิสภาพของผู้สูงอายุของเรานั้น ก็จะมีความเสื่อมเป็นธรรมดา
จะห้ามไม่ให้เกิดความเสื่อมนั้นเป็นไปไม่ได้
งานวิจัยชิ้นหนึ่ง ที่มีการศึกษาการป้องกันหรือชะลอความจ�าเสื่อมที่อยากจะแนะน�าในวันนี้ ชื่อว่า FINGER STUDY
ซึ่งเกิดในประเทศฟินแลนด์ตั้งแต่ปี 2009 และสิ้นสุดในปี 2011 มีคนร่วมงานวิจัยมากกว่า ๑,๐๐๐ คนในช่วงแรกและ
หลังจากนั้นมีการติดตามผลงานวิจัยต่อไปอีก ๗ ปี จนกระทั่งได้มีการตีพิมพ์เผยแพร่ผลงานแนวทางให้กับประชากรชาวโลก
ได้รับรู้จนในที่สุดองค์การอนามัยโลกก็ได้น�าผลการวิจัยไปต่อยอด หรือแนะน�าในประเทศในกลุ่มสมาชิกให้ได้ปฏิบัติในการป้องกัน
และชะลอความจ�าเสื่อม แม้กระทั่ง อเมริกาก็น�าไปเป็นงานวิจัยใหม่ในชื่อว่า
US Pointer ซึ่งยืนยันได้ว่างานวิจัยชิ้นนี้ เชื่อถือได้ และสมควรน�าไปปฏิบัติ
เป็นอย่างยิ่ง
การศึกษานี้ ได้รับความร่วมมือทั้งประเทศฟินแลนด์และสวีเดนโดย
ศึกษาจากคนที่เป็นโรคความจ�าเสื่อมทั้งหมด ตั้งแต่อายุ ๖๐ - ๗๗ ปี จ�านวน
มากกว่า ๑,๐๐๐ คน มาแบ่งเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มที่ ๑ เอามาเก็บข้อมูลอย่างเดียว
คือเป็นตัวตั้งต้น หมายถึงว่าปล่อยให้กลุ่มนี้ด�าเนินชีวิตตามปกติที่เคยท�ามา
ก่อนงานวิจัยชิ้นนี้ ว่าจะกินอะไรออกก�าลังกายหรือไม่ หรือจะมีกิจกรรมอะไร
ที่เคยท�าเป็นประจ�า ก็ด�าเนินไปตามปกติ เพราะในกลุ่มนี้ก็มีทั้งคนกินอาหาร
มังสวิรัติ มีคนที่ออกก�าลังกายประจ�าอยู่แล้ว อย่างเช่น ขี่จักรยาน หรือว่าจะวิ่ง จ๊อกกิ้ง ก็ท�ากันอยู่แล้ว บางคนเป็นคนที่มี
กิจกรรมต่างๆ อยู่ในแต่ละวันของตนเอง คือ ไปสวดมนต์ ไปงานปาร์ตี้ เล่นกีฬา ซื้อของ ไปพบปะผู้คน มีคอฟฟี่เบรก เหล่านี้
ก็ท�าอยู่เป็นเนืองนิจอยู่แล้ว สรุปกลุ่มที่ ๑ นี้ก็จะท�าไปเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่จะเก็บเป็นข้อมูลเพื่อมาเปรียบเทียบ
ส่วนอีกกลุ่มหนึ่ง คือกลุ่มที่ ๒ จะมีการก�าหนดเงื่อนไขหลักๆ อยู่ ๓ อย่าง ก็คือ ๑) ต้องเปลี่ยนการกินอาหาร
๒) ต้องออกก�าลังกายเป็นประจ�า ๓) ต้องมีกิจกรรมเสริมการกระตุ้นสมอง อย่าลืมว่าทั้ง ๒ กลุ่มนี้ ทุกคนที่มาท�าการศึกษา
หน้า ๑๔ ข่าวสารแพทย์นาวี ปีที่ ๖๓ เล่มที่ ๘ เดือน สิงหาคม พ.ศ.๒๕๖๔

