Page 19 - ข่าวสารแพทย์นาวี ฉบับเดือน กันยายน ๒๕๖๔
P. 19

ข่าวสารแพทย์นาวี  : Naval  Medical  Newsletter




                                              ธรรมะกับคติธรรมสอนใจ




                                                   เรื่อง...สัมมาทิฏฐิ


                      การกระท�าของมนุษย์ล้วนมาจากรากเหง้าแห่งความคิด ผลสะท้อนของความคิดแปรรูปมาเป็น
              การกระท�า ซึ่งในบริบทต่างๆ ของสังคมมนุษย์ ไม่ว่าจะเป็นระบบใด เมื่อพิเคราะห์อย่างถ่องแท้ จะอยู่ภายใต้

              กรอบของสิ่งที่พระพุทธศาสนาเรียกว่า “ทิฏฐิ” นั่นเอง ค�าว่า “ทิฏฐิ” หมายถึงความคิดเห็นที่เป็น

              เครื่องก�าหนดท่าทีในการมองโลกและชีวิต การก�าหนดแนวทางในการเข้าไปเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับโลกภายนอก

              รวมทั้งเป็นมาตรฐานในการตีความข้อมูลและประสบการณ์ต่างๆ  ที่รับเข้ามา  พุทธศาสนามองว่ามนุษย์
              จ�าเป็นอย่างยิ่งที่ต้องปลูกสัมมาทิฏฐิหรือความเห็นชอบให้เกิดขึ้นในชีวิตให้ได้  เพราะความเห็นชอบนี้เอง

              จะก�าหนดชะตากรรมแห่งการด�ารงอยู่อันงดงามของชีวิตตลอดไป

                      สัมมาทิฏฐิ หมายถึงแนวคิดที่ถูกต้อง ความเห็นชอบตามท�านองคลองธรรม เช่น เห็นว่าท�าดีได้ดี
              ท�าชั่วได้ชั่ว เห็นว่าสัตว์ทั้งหลายมีกรรมเป็นของตนเอง มีกรรมเป็นแดนเกิด ย่อมได้รับผลของกรรมคือ

              ผลแห่งการกระท�าของตน อย่างจริงแท้แน่นอน เป็นต้น ซึ่งปัจจัยที่ท�าให้เกิดสัมมาทิฏฐิ มี ๒ ประการ คือ

                      ๑. ปรโตโฆสะ เสียงจากผู้อื่น คือการกระตุ้นหรือชักจูงจากภายนอก คือ การรับฟังค�าแนะน�าสั่งสอน

              เล่าเรียนความรู้  สนทนาซักถาม  ฟังค�าบอกเล่าชักจูงของผู้อื่น  โดยเฉพาะการสดับสัทธรรมจากท่านผู้เป็น
              กัลยาณมิตร

                      ๒. โยนิโสมนสิการ การใช้ความคิดถูกวิธี ความรู้จักคิด คิดเป็น คือกระท�าในใจโดยแยบคาย

              มองสิ่งทั้งหลายด้วยความคิดพิจารณา รู้จักสืบสาวหาเหตุผล แยกแยะสิ่งนั้นๆ หรือปัญหานั้นๆ ออก ให้เห็น
              ตามสภาวะและตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย ดังนั้น กัลยาณมิตรและโยนิโสมนสิการนี้ ย่อมเป็นเบื้องต้น

              ของสัมมาปฏิบัติทุกอย่าง

                             ดังนั้น ผู้มุ่งจะได้ปัญญาที่เป็นสัมมาทิฏฐิ จึงต้องปฏิบัติตามมงคลสูตรคาถาแรกของพระพุทธเจ้า
              เป็นประจ�า คือ ไม่เสวนาคบหาคนพาล เสวนาคบหาบัณฑิต และบูชาผู้ที่ควรบูชา เมื่อปฏิบัติอยู่ดั่งนี้แล้วจึงจะได้

              กัลยาณมิตร และเมื่อมีโยนิโสมนสิการประกอบอยู่ตลอด สัมมาทิฏฐิย่อมบริบูรณ์ และห่างไกลจากเหตุแห่ง

              ความผิดพลาดทั้งปวง  เป็นรุ่งอรุณแห่งการก้าวสู่ความเจริญไพบูลย์งอกงามแห่งชีวิต  เป็นการด�าเนินชีวิต
              ตามหลักอริยมรรคข้อแรกในอริยมรรคมีองค์ ๘ นั่นเอง







                 จัดท�าโดย  กองอนุศาสนาจารย์ ยศ.ทร.












                                                 ข่าวสารแพทย์นาวี  ปีที่ ๖๓ เล่มที่  ๙  เดือน กันยายน พ.ศ.๒๕๖๔  หน้า ๑๗
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24