Page 23 - ข่าวสารแพทย์นาวีฉบับเดือน ตุลาคม ๒๕๖๕
P. 23
ข่าวสารแพทย์นาวี : Naval Medical Newsletter
ตามล�าดับ กรณีย้ายเพื่อการรักษาต่อเนื่องและเพื่อรักษาโรงพยาบาลที่มีศักยภาพสูงกว่า ทุกคนคงจะเข้าใจได้ว่า ผู้ป่วยมีประวัติ
รักษาอยู่ที่ใดก็อยากจะไปรักษาต่อเนื่องที่นั่น และแพทย์รักษาโรคเฉพาะทางก็ไม่ได้มีอยู่ในทุกโรงพยาบาล หากโรงพยาบาลที่รับไว้
รักษาการเจ็บป่วยเบื้องต้นตรวจพบว่าผู้ป่วยเจ็บป่วยด้วยโรคที่ต้องอาศัยความรู้ความช�านาญหรือเครื่องมือเฉพาะทาง ก็มัก
จะส่งผู้ป่วยไปรักษาต่อยังโรงพยาบาลที่มีศักยภาพเพียงพอ แต่ความยากมันอยู่ที่โรงพยาบาลเฉพาะทางนั้นๆ มีเตียงรับผู้ป่วย
ที่เราต้องการย้ายไปหรือไม่ (โดยเฉพาะโรงพยาบาลรัฐบาลระดับตติยภูมิที่มีชื่อเสียง) เชื่อหรือไม่ การย้ายโรงพยาบาลรักษา
ขณะเป็นผู้ป่วยใน ก็ต้องรอคิวเช่นเดียวกับการรักษาแบบผู้ป่วยนอกนะคะ บางรายอาจต้องรอนานกว่า ๓ วัน จนถอดใจกัน
เลยทีเดียว ข้อดีอยู่ที่ในระหว่างรอ ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องตามศักยภาพของโรงพยาบาลเดิมที่รักษาอยู่
ส่วนการย้ายไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมก็ตรงไปตรงมานะคะ การประสานงานไม่ยุ่งยากอะไร มีเป้าหมายเพื่อให้
ผู้ป่วยได้รับการรักษาต่อเนื่องโดยไม่ต้องช�าระเงินเอง ส่วนสาเหตุการย้าย ที่ผู้ให้บริการต้องใช้เวลา พลังงาน และทรัพยากร
มากที่สุด คือ การย้ายตามความต้องการของญาติ เนื่องจาก หลายครั้งโรงพยาบาลที่ญาติเลือกจะให้ส่งผู้ป่วยไป ไม่ใช่โรงพยาบาล
ตามสิทธิ์ ไม่ใช่โรงพยาบาลเอกชน ไม่มีความพร้อมที่จะรักษาผู้ป่วยรายนั้นๆ ได้ บางครั้งการไม่มีญาติของผู้ป่วยอยู่ในพื้นที่
ใกล้เคียงกับที่ตั้งของโรงพยาบาลนั้น ก็เป็นเงื่อนไขที่ท�าให้ย้ายผู้ป่วยไปไม่ได้ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าการย้ายนั้นจะเริ่มต้นด้วย
สาเหตุใด กระบวนการประสานงานก่อนย้าย จะต้องถูกด�าเนินงานเป็นล�าดับถัดไปเมื่อมีผู้ขอย้าย บุคคลที่มีบทบาทหน้าที่
ในกระบวนการนี้ มีส่วนอย่างมากต่อประสิทธิภาพของการย้ายผู้ป่วยเพื่อการรักษาต่อเนื่อง ซึ่งประกอบด้วย ผู้ป่วยและ
ญาติผู้ป่วย แพทย์เจ้าของไข้ หรือแพทย์ผู้พิจารณาตัดสินใจย้าย พยาบาลประสานงานและพยาบาลหอผู้ป่วย ผู้บริหารหน่วยงาน
บุคคลเหล่านี้มีผลต่อกระบวนการประสานงานอย่างไร ในที่นี้ขอให้ข้อมูลคร่าวๆ จากประสบการณ์ปฏิบัติงานในแผนกรับ
และส่งต่อผู้ป่วย รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พร. นะคะ
๑. ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย : เป็นคนแรกๆ ที่ท�าให้เกิดกระบวนการย้ายผู้ป่วย ตามค�าประกาศสิทธิผู้ป่วย (ประกาศ
โดยปลัดกระทรวงสาธารณสุข เมื่อวันที่ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๕๘) หลายครั้งที่ความล่าช้าของกระบวนการเกิดจากสาเหตุเหล่านี้
- ผู้ที่ตัดสินใจเกี่ยวกับการย้าย ไม่ใช่ผู้ป่วยคนเดียวแต่ต้องการให้ญาติร่วมตัดสินใจด้วย ยิ่งมีญาติหลายคน
ยิ่งมีโอกาสคิดเห็นแตกต่างกัน มีความต้องการต่างกัน ท�าให้ผู้ให้บริการสับสนและไม่สามารถเริ่มต้นกระบวนการประสานงาน
ย้ายได้ แม้ว่าตาม พระราชบัญญัติสุขภาพแห่งชาติ ๒๕๕๐ จะระบุให้ผู้มีสิทธิ์ให้ความยินยอม หรือตัดสินใจเกี่ยวกับการรักษา
แทนผู้ป่วย จะต้องมีความเกี่ยวข้องทางใดทางหนึ่งได้แก่ คู่สมรส (โดยนิตินัย) บุตรที่บรรลุนิติภาวะ บิดา/มารดา และญาติ
สืบทอดสายเลือดเดียวกัน ก็ตาม
- ญาติผู้ป่วยไม่มาติดต่อที่ โรงพยาบาลตามนัดหมาย ท�าให้การกระบานการในขั้นตอนต่อๆ ไป คลาดเคลื่อน หรือ
อาจต้องเลื่อนออกไปเป็นวัน เช่น นัดญาติช�าระเงินส่วนเกินจากสิทธิ์ก่อนย้าย หรือนัดให้ญาติเดินทางมาเพื่อขึ้นรถพยาบาล
ไปพร้อมกับผู้ป่วย ซึ่งเป็นเงื่อนไขของโรงพยาบาลที่รับย้าย แต่ญาติไม่มาตามนัด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของเอกสาร
การให้ความยินยอมย้ายผู้ป่วยที่ต้องรอญาติมาลงนามด้วย (โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ระดับความรู้สึกตัวต�่ากว่าปกติ) เนื่องจาก รพ.ฯ
ไม่สามารถเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปรักษาที่อื่นได้หากไม่มีการยินยอมโดยผู้ป่วยหรือญาติ ปัจจุบันยังไม่มีระบบรองรับการแสดง
ความยินยอมผ่านทางโทรศัพท์ จึงต้องรอการลงนามเท่านั้น
- การโทรศัพท์เข้ามาติดตามความคืบหน้าของกระบวนการย้ายเป็นระยะๆ โดยญาติ หรือผู้บังคับบัญชา
หรือบุคคลที่สนิทสนมกับผู้ป่วย ซึ่งเป็นการรบกวนการปฏิบัติงานของพยาบาลประสานงานอย่างมาก โดยเฉพาะในแผนกที่มี
ก�าลังพลไม่สมดุลกับภาระงาน เนื่องจากผู้ให้บริการต้องรับโทรศัพท์และตอบค�าถามจนจบก่อนจะไปด�าเนินการประสานงาน
ย้ายผู้ป่วยต่อได้ ท�าให้ผู้ปฏิบัติงานสูญเสียสมาธิ มีผลท�าให้ใช้ระยะเวลาในการประสานงานมากขึ้น
อ่านต่อฉบับหน้า
ข่าวสารแพทย์นาวี ปีที่ ๖๔ เล่มที่ ๑๐ เดือน ตุลาคม พ.ศ.๒๕๖๕ หน้า ๘

