Page 19 - 6jun64
P. 19

ข่าวสารแพทย์นาวี  : Naval  Medical  Newsletter

                                              ธรรมะกับคติธรรมสอนใจ


                                                   เรื่อง...พลังสามัคคี
                     การอยู่รวมกันของคนในสังคมหรือการอยู่รวมกันของคนหมู่มาก ย่อมมีความคิด ทัศนคติ และเจตคติที่แตกต่างกันเป็นธรรมดา
              แต่เพื่อความสุขและความสงบร่มเย็นของการอยู่ร่วมกัน  ทุกคนต้องอยู่ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน  ตามบทบัญญัติหรือข้อปฏิบัติที่น�าไปสู่
              จุดมุ่งหมายร่วมกัน  พร้อมใจกันที่จะพัฒนาสังคมไปสู่ความสุขและความเจริญก้าวหน้าตามที่มุ่งหวัง  ลักษณะดังกล่าวนี้เรียกว่า
              “ความสามัคคี”  หากสามัคคีมากการพัฒนาใดๆ  ย่อมเป็นไปได้ทั้งนั้น  หลักพุทธธรรมที่สร้างความสามัคคีเรียกว่า  “สาราณียธรรม”
              หมายถึง ธรรมเป็นที่ตั้งแห่งความระลึกถึงกัน ถือว่าเป็นธรรมที่เป็นพลังในการสร้างความสามัคคี มี ๖ ประการคือ

                     ๑. เมตตากายกรรม ปฏิบัติต่อกันด้วยเมตตา คือ การกระท�าทางกายที่ประกอบด้วยเมตตา เช่น การให้การอนุเคราะห์
              ช่วยเหลือและเอื้อเฟื้อต่อผู้อื่น ไม่รังแกท�าร้ายผู้อื่น ๒. เมตตาวจีกรรม  พูดด้วยเมตตา คือการมีวาจาที่ดี สุภาพ อ่อนหวาน พูดมีเหตุผล
              ไม่พูดให้ร้ายผู้อื่นท�าให้ผู้อื่นเดือดร้อน ๓. เมตตามโนกรรม คิดด้วยเมตตา คือ ความคิดที่ประกอบด้วยเมตตาทั้งต่อหน้าและลับหลัง
              เป็นการคิดดีต่อกันไม่คิดอิจฉาริษยาหรือไม่คิดมุ่งร้ายพยาบาท ๔. สาธารณโภคี คือ การรู้จักแบ่งสิ่งของให้กันและกันตามโอกาสอันควร
              เพื่อแสดงความรักความหวังดีของผู้ที่อยู่ในสังคมเดียวกัน ๕. สีลสามัญญตา คือ ความรักใคร่สามัคคี รักษาศีล อย่างเคร่งครัดเหมาะสม
              ตามสถานะของตนมีความประพฤติสุจริตปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ของหมู่คณะ ไม่เอารัดเอาเปรียบผู้อื่น  ๖. ทิฏฐิสามัญญตา คือ
              การมีความเห็นร่วมกัน ไม่เห็นแก่ตัว รู้จักเคารพและรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นร่วมมือร่วมใจในการสร้างสรรค์สังคมให้เกิดความสงบ
                     หากทุกคนในสังคมเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เข้าอกเข้าใจซึ่งกันและกัน ยอมรับในความแตกต่างของกันและกัน
              เคารพในกฎกติกาเดียวกัน รู้จักแบ่งปันช่วยเหลือกัน ให้ก�าลังใจซึ่งกันและกัน และรู้จักการให้อภัยกัน ตามหลักธรรม ๖ ประการดังกล่าว
              สังคมก็จะมีความอบอุ่นและน่าอยู่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข และมีพลัง ดังบทประพันธ์ที่ว่า
                             สามัคคีรักกันฉันพี่น้อง             เรื่องขุ่นข้องหมองใจไม่ถือสา
                             ให้อภัยยกโทษไม่โกรธา                ต่างเมตตารักกันไม่ฟั่นเฟือน
                             ลิ้นกับฟันอยู่ด้วยกันมันกระทบ       บางครั้งขบห้อเลือดเหมือนเชือดเฉือน
                             เพื่อนร่วมชาติเหมือนญาติอยู่ในเรือน      เปรียบดังเพื่อนร่วมตายอย่าหน่ายกัน
                             แม้ผิดบ้างพลั้งหน่อยอย่าพลอยซ�้า       ให้ระก�าช�้าจิตคิดเหหัน
                             ควรผ่อนสั้นผ่อนยาวเข้าหากัน         ความผูกพันฉันน้องพี่นี้ดีเอย


                                                     เรื่อง...ใบไม้ร่วง

                      “สรรพสิ่งผ่านมา..แล้วผ่านไป ย่อมเตือนใจเราได้ทั้งสิ้น แม้นใบไม้..ร่วงหล่นบนพื้นดิน เป็นอาจิณแจ้งชัดสัจธรรม”
              ค�าคมบทนี้สะท้อนมุมมองของชีวิตที่หลายคนมองข้าม เหตุเพราะว่าคนส่วนใหญ่ยังมีร่างกายแข็งแรง มีเรี่ยวแรงที่ท�าสิ่งต่างๆ ได้
              ตามใจปรารถนา ต่อเมื่อวันใดวันหนึ่งร่างกายทรุดโทรม หรือเจ็บป่วยด้วยโรคภัยไข้เจ็บ หรือแม้กระทั่งแก่ชราไปตามธรรมดาของชีวิต
              ก็อาจกลับมาได้สติว่า สิ่งใดๆ ในโลก ล้วนตกอยู่ภายใต้กฎแห่งสามัญลักษณะ คือลักษณะที่มีเสมอกันในสังขารทั้งปวง ไม่ต่างจาก

              ใบไม้ร่วงหลุดจากขั้วหล่นลงบนพื้นดิน
                      สามัญลักษณะ หมายถึงภาวะที่เกิดขึ้น ภาวะที่มีที่เป็นแก่สังขารคือสรรพสิ่งทั้งปวง อย่างเสมอภาคกัน ไม่มียกเว้น ไม่ว่า
              สังขารนั้นจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า ไตรลักษณ์ คือลักษณะประจ�า ๓ ประการของสังขาร และเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า
              ธรรมนิยาม คือกฎธรรมดาหรือข้อก�าหนดที่แน่นอนของสังขารทั้งปวง มี ๓ ประการคือ
                      ๑. อนิจจตา ความเป็นของไม่เที่ยง ความเปลี่ยนแปลงไปตลอดเวลา
                      ๒. ทุกขตา ความเป็นทุกข์ คือทนอยู่ในสภาพเดิมไม่ได้
                      ๓. อนัตตตา ความเป็นของมิใช่ตัวตน ความมิใช่อัตตา
                      เมื่อคนเราเจริญปัญญาเห็นชัดในกฎไตรลักษณ์ดังกล่าว จึงมิใช่เรื่องยากแต่อย่างใดที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่าง ๆ เช่น
              มุมมองเรื่องทุกข์ในชีวิตที่หลายคนมักจะจมอยู่กับกองทุกข์ต่างๆ ที่รุมสุม ปล่อยให้ทุกข์กัดกินใจทุกวัน จนลืมไปว่าแท้จริงแล้วทุกข์
              ก็แค่จรมา ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป ทุกข์เกิดได้ย่อมดับได้ ยกใจให้สูงขึ้นก็เป็นสุขได้ เพียงแค่เปลี่ยนมุมมองเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง

              เราจะสามารถผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ และในอีกหนึ่งมุมมองคือ ความไม่แน่นอนของสังขารนี้  สัจธรรมแห่งชีวิตคือเรารู้วันเกิดแต่
              ไม่รู้วันตาย จึงควรด�ารงตนด้วยความไม่ประมาท หมั่นประกอบคุณงามความดีท�าหน้าที่ให้สมบูรณ์ ดังค�าพูดที่ว่า “จงท�าวันนี้ให้
              เหมือนเป็นวันสุดท้ายของชีวิต” และจง “ท�าวันนี้ให้ดีที่สุด” อย่างน้อยก่อนใบไม้แห่งชีวิตร่วงไปบนพื้นดินคืนสู่ธรรมชาติ

              เราจะภาคภูมิใจในตัวเองว่า “เราท�าดีที่สุดแล้ว” นั่นเอง
               จัดท�าโดย  กองอนุศาสนาจารย์ ยศ.ทร.

                                              ข่าวสารแพทย์นาวี  ปีที่ ๖๓ เล่มที่  ๖  เดือน มิถุนายน พ.ศ.๒๕๖๔  หน้า ๑๗
   14   15   16   17   18   19   20   21   22   23   24