Page 13 - ข่าวสารแพทย์นาวีฉบับเดือน กุมภาพันธ์ ๒๕๖๖
P. 13
ข่าวสารแพทย์นาวี : Naval Medical Newsletter
การวินิจฉัยโรคลมพิษ
กำรวินิจฉัยโรคลมพิษอำศัยกำรตรวจร่ำงกำย พบผื่นนูนแดงคัน และ/หรือ อำกำรบวมใต้ชั้นผิวหนัง ร่วมกับ
ประวัติกำรเกิดผื่นทันทีทันใด และจำงหำยเป็นผิวหนังปกติ ไม่ทิ้งรอย ภำยใน ๒๔ ชม. กำรซักประวัติเพิ่มเติม เช่น
ประวัติกำรติดเชื้อ กำรกินยำ อำหำร แมลงสัตว์กัดต่อย และ อำกำรแสดงในระบบอื่น เช่น ไข้ ปวดข้อ อ่อนเพลีย มีควำม
จ�ำเป็นเพื่อหำสำเหตุของกำรเกิดโรค
การตรวจเพิ่มเติมทางห้องปฏิบัติการ
ไม่มีควำมจ�ำเป็นในโรคลมพิษที่เกิดขึ้นเองแบบเฉียบพลัน แต่อำจพิจำรณำตรวจในโรคลมพิษเรื้อรัง ได้แก่ กำรตรวจ
CBC, ESR, ANA, specific IgE, thyroid function test & autoantibodies, skin prick test, autologous serum skin test
และหำกำรติดเชื้อ เช่น stool exam for parasite, gastroscopy / test for Helicobacter pylori และ viral hepatitis
เป็นต้น
การพยากรณ์โรค
โรคลมพิษเฉียบพลัน มำกกว่ำร้อยละ ๙๐ ของผู้ป่วย มักจะหำยเองภำยใน ๓ สัปดำห์ โดยมีผู้ป่วยประมำณร้อยละ
๒๐ เมื่อติดตำมอำกำรต่อไปอำจกลำยเป็นโรคลมพิษเรื้อรัง
โรคลมพิษเรื้อรัง ร้อยละ ๕๐ ของผู้ป่วย โรคมักสงบภำยในเวลำ ๑ ปี และประมำณร้อยละ ๒๐ อำจมีผื่นเป็นๆ หำยๆ
ต่อไปมำกกว่ำ ๒๐ ปี จำกข้อมูลสถิติของผู้ป่วยโรคลมพิษเรื้อรังในประเทศไทยพบว่ำ ร้อยละ ๓๔ โรคสงบลงภำยในเวลำ ๑ ปี
โดยมีค่ำเฉลี่ยกำรด�ำเนินโรคอยู่ที่ ๓๙๐ วัน
แนวทางการรักษาโรคลมพิษ
กำรรักษำตำมสำเหตุ ขึ้นกับสำเหตุของกำรเกิดโรค เช่น หำกเกิดจำกกำรรับประทำนยำ ก็ให้หยุดยำที่เป็นสำเหตุ
หรือเกิดจำกประวัติกำรสัมผัสหรือปัจจัยทำงกำยภำพ ก็ให้หลีกเลี่ยง ไม่สัมผัส
กำรลดควำมไวของผิวหนัง โดยกำรใช้ครีมให้ควำมชุ่มชื้นอย่ำงสม�่ำเสมอ ดูแลไม่ให้ผิวแห้ง และหลีกเลี่ยงกำรแกะเกำ
ขีดข่วน กำรพอกขัดผิว กำรอบไอน�้ำ กำรขัดนวดตัว กำรใส่เสื้อรัด และกำรยกของหนักเป็นเวลำนำน
การรักษาด้วยยา
ยาต้านฮิสตามีน (antihistamines)
แนะน�ำให้ใช้ยำในกลุ่ม 2nd generation (non-sedating) H1-antihistamines เป็นอันดับแรก เนื่องจำกมี
ประสิทธิภำพที่ดี ออกฤทธิ์ยำว ผลข้ำงเคียงน้อย โดยอำจพิจำรณำปรับเพิ่มขนำดยำ ในกลุ่มนี้ได้ถึง ๔ เท่ำ หำกยังไม่สำมำรถ
ควบคุมอำกำรของผื่นได้หลังจำกใช้ยำในขนำดยำปกติไปแล้วอย่ำงน้อย ๒-๔ สัปดำห์ (โดยยำกลุ่มนี้ที่มีหลักฐำนเชิงประจักษ์
ในแง่ของฤทธิ์ลดกำรอักเสบร่วมด้วย ได้แก่ bilastine, levocetirizine, desloratadine และ rupatadine)
แนะน�ำให้หลีกเลี่ยงกำรใช้ยำในกลุ่ม 1st generation (sedating) H1-antihistamines เนื่องจำกมีผลข้ำงเคียง
ได้แก่ ง่วงซึม ปำกคอแห้ง โดยเฉพำะในผู้ป่วยสูงอำยุ ต้อหิน หรือต่อมลูกหมำกโต ทั้งนี้ยังพบอีกว่ำ กำรใช้ยำกลุ่มนี้ร่วมกับ
2nd generation H1-antihistamine ไม่เพิ่มประสิทธิภำพของกำรรักษำ และท�ำให้เกิดผลข้ำงเคียงมำกขึ้น ยำในกลุ่มนี้
ได้แก่ chlorpheniramine, hydroxyzine, diphenhydramine และ cyproheptadine
ส่วนยำในกลุ่ม H2-antihistamines อำจพิจำรณำให้ร่วมกับยำในกลุ่ม H1-antihistamines ได้ เนื่องจำกรำคำถูก
และมีควำมปลอดภัยสูง แต่เนื่องจำกหลักฐำนในเรื่องประสิทธิภำพในกำรรักษำโรคลมพิษยังมีน้อย จึงอำจพิจำรณำหยุดยำ
หำกใช้ไม่ได้ผลในระยะเวลำประมำณ ๒-๔ สัปดำห์
ยากลุ่ม Leukotriene receptor antagonist
Montelukast มีผลช่วยในกำรรักษำ โรคลมพิษที่มีภำวะ aspirin-sensitive และโรคลมพิษเรื้อรังบำงรำย เมื่อให้
ร่วมกับยำต้ำนฮิสตำมีน แต่เนื่องจำกหลักฐำนในเรื่องประสิทธิภำพในกำรรักษำโรคลมพิษอยู่ในระดับต�่ำ จึงอำจพิจำรณำหยุดยำ
หำกใช้ไม่ได้ผลในระยะเวลำประมำณ ๒-๔ สัปดำห์
ข่ำวสำรแพทย์นำวี ปีที่ ๖๕ เล่มที่ ๒ เดือน กุมภำพันธ์ พ.ศ.๒๕๖๖ หน้า ๘

